คิดบวก พูดบวก

คิดบวก…พูดบวก

ผศ.พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน

มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันได้ไปตรวจรักษาผู้ป่วยหญิงชาวอเมริกันรายหนึ่ง เธอป่วยด้วยปอดอักเสบและพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ภายหลังจากพักในโรงพยาบาลนาน 3 วัน เธอก็มีอาการดีขึ้น

ฉันได้ไปเยี่ยมเธอเพื่อจะอนุญาตให้กลับบ้าน ฉันได้กล่าวทิ้งท้ายแก่เธอด้วยความห่วงใยเอาไว้ว่า

“If you feel good, do not come back.”

ทันทีที่ได้ยิน ก็ทำให้ผู้ป่วยหญิงอเมริกันหัวเราะด้วยเสียงอันดังแล้วตอบกลับมาว่า

“OK. I do not come back to you again.”

ฉันจึงนึกขึ้นได้ว่าคำพูดนั้นมีความหมายในแง่ลบ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่า ฉันไม่อยากดูแลรักษาเธออีกแล้ว จนฉันต้องรีบขอโทษขอโพยต่อเธอเป็นการใหญ่ ซึ่งเธอก็ไม่ติดใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นปัญหาในด้านการพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น

ที่จริงแล้ว ฉันควรพูดให้มีนัยด้านบวก เช่น If you feel bad, please come back. ทั้งที่ก็มีเนื้อความคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกด้านบวกและผู้ฟังกลับรู้สึกดีมากกว่า

ฉันมาย้อนคิดแล้วพบว่าอาจไม่ใช่เกิดจากปัญหาพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่น่าจะเกิดจากความคิดด้านลบทำให้ฉันผลิตคำพูดด้านลบออกไปก็เป็นได้

ตามปกติแล้ว คนเราจะ "คิดลบ" เพื่อความอยู่รอดของเรา เช่น สมัยก่อนที่เราเป็นมนุษย์ถ้ำ หากเราเห็นพุ่มไม้ไหว ๆ สมองของเราจะคิดลบก่อนเลยว่าข้างหลังพุ่มไม้นั้นอาจเป็น "เสือ" ที่จะทำอันตรายเรา

เราจะไม่ "คิดบวก" ว่า ข้างหลังพุ่มไม้นั้นเป็น "กระต่าย" เพื่อเราจะจับไปเลี้ยงดูเล่น

การคิดลบแบบนี้นี่เองที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา "อยู่รอด" มาจนถึงทุกวันนี้ แต่เนื่องจากปัจจุบันเสือทั้งหลายได้ถูกจับไปไว้ในกรงเกือบหมดแล้ว โอกาสที่เราจะเจอเสือจริง ๆ น้อยมากแต่ "สมอง" ของเราก็ยังติดกับการคิดลบแบบนี้อยู่ ทำให้เรามีความทุกข์ และทำให้พูดด้านลบออกมาตามความคิดของเรา

ในการกู้ชีพของห้องฉุกเฉินแห่งหนึ่ง ทันทีที่ห้องฉุกเฉินประกาศรหัสกู้ชีพออกไปก็มีผู้คนมาจากทุกหอผู้ป่วยและหอผู้ป่วยวิกฤติเพื่อมาช่วยกันทำการกดหน้าอกกู้ชีพ ทั้งนี้เพราะเชื่อกันว่ามีผู้คนมารวมกันเยอะ ๆ เอาไว้ก่อน แต่ถ้าคนมาเหลือเฟือแล้วค่อยให้หัวหน้าทีมแจ้งให้กระจายกลับไปทำงานตามหน้าที่ประจำต่อไป ย่อมดีกว่าไม่มีคนมาช่วยเหลือกันเลย

ดังนั้น ในการกู้ชีพครั้งนั้นที่ห้องฉุกเฉิน ภายหลังประกาศรหัสกู้ชีพดังไปทั่วโรงพยาบาลแล้ว ทำให้มีผู้คนมาออกันมากมายในห้องกู้ชีพ จนเกิดภาวะอลหม่านเพราะต่างคนก็คว้าโน่นนี่เพื่อมาทำการช่วยเหลือแก่ผู้ป่วย จนในที่สุดฉันก็ตะโกนขึ้นว่า “ใครไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปก่อน”

หลังจากนั้นพบว่าผู้คนพากันทยอยออกจากห้องกู้ชีพกันจนเกลี้ยง เพราะต่างคนก็ต่างคิดว่าไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ จึงพากันเดินออกไปเพื่อกลับไปทำงานประจำที่ยังค้างอยู่

ทั้งนี้เพราะในคำพูดแฝงนัยราวกับ…ไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ

แต่เราสามารถพูดอีกแบบหนึ่งเพื่อกระจายคนออกจากห้องกู้ชีพแทนว่า “ขอผู้เกี่ยวข้องอยู่ช่วยผู้ป่วยตามตำแหน่งที่สำคัญก่อน ส่วนที่เหลือขอให้รออยู่หน้าห้องเพื่อทดแทนกัน”

ซึ่งน่าจะทำให้ผู้คนทยอยออกมารวมตัวกันหน้าห้องเพื่อรอการร้องขอความช่วยเหลือตามที่ทีมร้องขอในลำดับต่อไป

สำหรับการพูดจา ถ้าเรามีความคิดบวกก็จะทำให้เราเลือกใช้คำพูดด้านบวกออกมาได้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์เท่าเดิมแต่สร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันได้มากกว่า

หมายเหตุ

การคิดลบทำให้เกิด "มด" ตัวที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเรา ซึ่งมดตัวที่ว่านี้ คือ

Automatic Negative Thoughts : ANTs ซึ่งหมายถึงการเป็น "คนคิดลบโดยอัตโนมัติ"

Dr.Daniel G. Amen ซึ่งเป็นจิตแพทย์ชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ในสมองของคนเรามี "มดอยู่ 9 สายพันธุ์" ที่ทำให้เราเกิดความทุกข์

1. สายพันธุ์ "เสมอ" และ "ไม่เคย" (ANT 1 "Always" and "Never")
มดสายพันธุ์นี้มีมากที่สุด เช่น เคยไหมที่เราชอบคิดว่า "เขาไม่เคยฟังฉันเลย" "ฉันผิดพลาดเสมอ" "เขาขึ้นเสียงกับฉันทุกครั้ง" ซึ่งจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่สมองจะคิดแบบเหมารวม โดยที่จริงแล้วเขาก็ฟังเราบ้าง เราก็ทำถูกบ้างผิดบ้าง เป็นต้น

2. สายพันธ์ุ "เมินสิ่งดี ดูสิ่งลบ" (ANT 2 "Focusing on the Negative")
มดสายพันธุ์นี้ทำให้เรามองแต่เฉพาะด้านลบ เช่น "ล้างรถทีไร ฝนตกทุกที" แต่จริง ๆ แล้วเราล้างรถ 10 ครั้ง ฝนอาจจะตก 1 ครั้ง

3. สายพันธุ์ "หมอดูซาดิสม์" (ANT 3 "Fortune Telling")
มดสายพันธุ์นี้ร้ายกาจมาก เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตเรา เช่น เราคิดว่า "เดี๋ยวตอนที่เราขึ้นไปพูดบนเวที คนคงหัวเราะเยาะเราแน่" ซึ่งการคิดแบบนี้จะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นผิดปกติ มือไม้สั่น และลืมบททำให้เวลาขึ้นไปพูด คนก็จะหัวเราะเยาะเราจริง ๆ

4. สายพันธุ์ "อ่านใจไปเรื่อยเปื่อย" (ANT 4 "Mind Reading")
มดสายพันธุ์นี้ชอบเดาใจ คิดไปเองในแง่ลบ เช่น หัวหน้าพูดอะไรในภาพรวมในที่ประชุมก็คิดว่า "หัวหน้ากำลังหมายถึงเราแน่เลย" ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการคิดไปเอง

5. สายพันธุ์ "รู้สึก...แต่ไม่นึกคิด" (ANT 5 "Thinking with Your Feelings")
มดสายพันธุ์นี้ทำให้เราชอบมีความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ เช่น "ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นส่วนเกินของหน่วย" ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกของเราเอง ไม่ใช่ความรู้สึกที่คนอื่นมีต่อเรา

6. สายพันธุ์ "หมกมุ่นอยู่กับอดีต" (ANT 6 "Guilty of Beating")
มดสายพันธุ์นี้ทำให้เราชอบย้อนคิดถึงอดีต เช่น ติดคำพูดว่า "ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นเราไม่ตัดสินใจผิด ชีวิตเราคงไม่เป็นแบบนี้" ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ควรเอาอดีตเป็น "ห้องขัง" ชีวิตของเรา

7. สายพันธุ์ "ตราหน้า แล้วด่าให้ยับ" (ANT 7 "Labeling")
มดสายพันธุ์นี้ชอบตราหน้าคนอื่น เช่น "ไอ้พวกรากหญ้า คิดไม่เป็น" ซึ่งแท้จริงแล้วมีคนรากหญ้ามากมายที่หัวดีกว่าคนจบปริญญาเอก
8. สายพันธุ์ "เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น" (ANT 8 "Personalization")
มดสายพันธุ์นี้มาจากนิทานเรื่องหนึ่งที่มีไก่ตัวหนึ่งลุกออกไปขันทุกเช้า พอวันหนึ่งไก่ป่วยหนักมาก ลูก ๆ ก็บอกว่า "พ่อวันนี้ไม่ต้องไปขันหรอก" แต่พ่อบอกว่า "ไม่ได้หรอก เพราะพ่อขัน ตะวันจึงขึ้น ถ้าพ่อไม่ออกไปขัน ดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้น แล้วโลกจะแย่แน่" ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองคือคนสำคัญเกินเหตุ

9. สายพันธุ์ "คุณน่ะทำ" (ANT 9 "Blame")
มดสายพันธุ์นี้น่ากลัวที่สุด เพราะจะทำให้เราคิดว่าที่ชีวิตเราเป็นแบบทุกวันนี้ เพราะพ่อแม่ หัวหน้า เพื่อน สังคม ฯลฯ เป็นต้นเหตุ ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นการคิดแบบ "เหยื่อ" คือคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อของการกระทำของคนอื่น ซึ่งทำให้ชีวิตหมดพลังและไร้คุณค่า อีกทั้งจะไม่ยอมปรับปรุงตัว

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดลบ หรือมีความทุกข์ แปลว่า "มดตัวใดตัวหนึ่งกำลังอาละวาดอยู่ในสมองเราแล้ว" รู้แล้วก็รีบกำจัดมดตัวร้ายนั้นทิ้งเพื่อชีวิตที่มีพลังและมีความสุขของตัวเราเองและคนที่เรารัก