ควรเลือกใช้ ACEI หรือ ARB เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

ควรเลือกใช้ ACEI หรือ ARB เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

J Am Coll Cardiol. 2018 Apr 3;71(13):1474-82. doi: 10.1016/j.jacc.2018.01.058.

            บทความเรื่อง Angiotensin-Converting Enzyme Inhibitors in Hypertension: To Use or Not to Use? รายงานว่า ในอดีตที่ผ่านมาแนวทางการจัดการผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม angiotensin converting enzyme inhibitor (ACEI) เป็นยาตัวแรกในการรักษา ในขณะที่แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม angiotensin receptor blockers (ARB) เป็นยาทางเลือก แต่ในปัจจุบันพบข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิกใหม่ ๆ มากขึ้นที่แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของยากลุ่ม ACEI และ ARB เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผลการศึกษาแสดงค่า relative risk (RR) [95% confidence interval] เกี่ยวกับผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพจากการใช้ยากลุ่ม ARB เปรียบเทียบกับ ACEI (Head to Head studies) ในการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ การเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และการเกิดภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย คือ 1.00 [0.89-1.12], 1.07 [0.94-1.22], 0.92 [0.80-1.06] และ 0.88 [0.63-1.22] ตามลำดับ ในแง่ความปลอดภัยพบการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการใช้ยากลุ่ม ACEI หรือ ARB เปรียบเทียบกับยาหลอก โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยสามารถทนต่อการใช้ยากลุ่ม ARB ได้มากกว่ายาหลอกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (RR 0.68 [0.54-0.87]) ในขณะที่ผู้ป่วยมีแนวโน้มทนต่อการใช้ยากลุ่ม ACEI ได้มากกว่ายาหลอกแต่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (RR 0.85 [0.67-1.07]) ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่แพทย์จะสามารถพิจารณาใช้ยากลุ่ม ARB เป็นยาตัวแรกได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หากผู้ป่วยสามารถจ่ายค่ายาได้