Hong Kong

Hong Kong

ผมเคยไปฮ่องกงหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะไปประชุม แต่ไม่ได้ไปมานานพอสมควรจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ เวลาไปกินอาหารกับผู้ที่เชี่ยวชาญจะอร่อยมาก แต่เวลาไปเอง สั่งเอง มักไม่อร่อย และแพงกว่าเมืองไทย แต่ที่ไปกับผู้รู้และที่ติดใจเป็นพิเศษคือ อาหารทะเลที่มีหอยงวงช้าง หรือหอยที่ผมเรียกเองว่าหอยไม้ไผ่ (bamboo) และนกพิราบที่เขาเสิร์ฟเป็นตัว ๆ คนละตัว

ผมและเพื่อน ๆ วปอ. (344) 3-4 คนจึงคุยกันและตกลงจะไปเที่ยวฮ่องกงด้วยกัน โดยมีเป้าหมายอย่างเดียวคือ กินอาหาร! พอถึงเวลาจริง ๆ ไปกันได้เพียง 3 คน คือ ผม พล.ร.ท.บัณฑิต (เหนียว) และพี่นิพิท โอสถานุเคราะห์ เหนียวเป็นคนที่ชอบไปเที่ยวคนเดียว เร็ว ๆ นี้ก็ไปอังกฤษคนเดียวจึงเชี่ยวชาญเรื่องการเดินทาง การจองห้องพัก จึงเป็นผู้จัดการการเดินทางทั้งหมด จองเครื่องบินการบินไทยช่วงที่มีโปรโมชั่นไป-กลับประมาณ 10,000 บาท ค่าที่พักคืนละ 4,000 บาท (2 คน) การเดินทางจากสนามบินไปโรงแรม Guangdong ที่อยู่ที่ Tsim Sha Tsui โดยรถไฟด่วน ซึ่งใช้เวลา 24 นาทีเท่านั้น ผ่าน Tsing Yi ก่อนเราลงที่ Kowloon รถไป Hong Kong ต่อ ตั๋วมีราคา 300 เหรียญ HK หรือ HKD ใช้ได้ภายใน 72 ชั่วโมง ไป-กลับ และยังใช้กับรถไฟใต้ดิน รถเมล์ได้อีกด้วย และถ้าคืนบัตรจะได้คืนเงิน 50 HKD

เครื่องบินเราออก 23/9/56 TG 628 เวลา 10.45 น. ใช้เวลาบิน 2¼ ชั่วโมง แต่ฮ่องกงเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง บนเครื่องบินมีอาหารเสิร์ฟ แต่ผมไม่หิวจึงไม่ค่อยได้กิน พอถึงฮ่องกงทุกอย่างสะดวกมาก ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากรอย่างรวดเร็ว เหนียวเป็นคนไปซื้อตั๋วรถไฟด่วน ผมไม่ต้องเตรียมอะไรเลย รวมทั้งเงินฮ่องกง เหนียวจัดการเรื่องตั๋ว โรงแรม การเดินทางให้ก่อน พี่นิพิทจัดการเรื่องค่าอาหาร แล้วผมจ่ายเงินคืนทั้ง 2 ท่านภายหลัง (รวม 20,000 บาทพอดีสำหรับทุก ๆ อย่าง) จากสถานีรถไฟ Kowloon เรานั่ง Taxi ไป Metre เริ่มที่ 20 HKD เราเสียค่า Taxi ประมาณ 45 HKD แต่ต้องเพิ่มค่ากระเป๋าอีกใบละ 5 HKD

โรงแรมเรียบร้อยดี ผมนอนกับเหนียว พักผ่อนได้ระยะหนึ่งก็ออกไปกินอาหารเย็นตอน 18.30 น. ตอนบ่ายผมและเหนียวก็ออกไปเดินดูของ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร มื้อแรกไปกินอาหารทะเลที่พี่นิพิทได้ที่อยู่มาให้ Taxi พาไป พอไปถึงผมก็จำได้ว่าเคยมาหลายครั้ง แต่จำชื่อและที่อยู่ไม่ได้ แต่ผมเรียกเองว่าเป็น Sea food fishing village พอไปถึงจึงถ่ายรูปชื่อร้านและพื้นที่แถวนั้นไว้ คือบริเวณ Lei Yue Mun, Kowloon เรา 3 คนเดินไปบนถนนระหว่างร้านอาหารทะเลซึ่งมีอยู่มากมาย มีคนพยายามดึงเราเข้าร้านต่าง ๆ หลังจากเดินดูจนทั่วเราจึงเลือกร้านหนึ่งซึ่งดูสะอาดและมีลูกค้ามาก ชื่อว่า Kui Kee Restaurant โดยเราต้องเลือกของทะเลซึ่งอยู่หน้าร้านก่อนเข้าไปในร้านอาหาร เราเลือกหอยงวงช้างตัวเล็กที่สุด 1 ตัว กุ้งมังกร (Lobster) 1 ตัว กุ้งเพื่อลวกคนละ 2 ตัว, หอยไม้ไผ่คนละ 1 ตัว ในร้านเราสั่งผัดคะน้าฮ่องกง และข้าวคนละถ้วย (ผม 2 ถ้วย) และเบียร์สิงห์เตา (Tsing Tao) ขวดโต 1 ขวดสำหรับผมคนเดียว ที่อร่อยมากคือ กุ้งมังกร กุ้งลวก และหอยงวงช้าง ซึ่งเขาทำแบบซาชิมิ (ปลาดิบญี่ปุ่น) แต่เราขอ Hot pot (หม้อไฟ) มาให้เราลวกแทน แต่ต้องลวกไม่นานจะนุ่มดี ราคาก็ดูคล้าย ๆ แพง 1,800 HKD หรือประมาณเกือบ 8,000 บาท ซึ่งก็คงแพงสำหรับเมืองไทย แต่คงไม่แพงสำหรับที่นี่ เพราะมื้ออื่น ๆ ราคาก็เท่านี้ (ในเมือง) ทั้ง ๆ ที่สั่งน้อยกว่านี้ และเป็นหมู เป็ด ไก่ ธรรมดา ๆ สรุปก็คืออาหารที่นี่แพงกว่าที่ไทย (แต่ร้านที่เราเข้าทุกร้านดูจะหรูเกินไปหน่อย ไม่ใช่ร้านข้างถนน) นอกจากมื้อแรกเราก็กินอาหารจีนธรรมดา นกพิราบที่ตั้งใจมากินก็หั่นเป็นชิ้น ๆ ไม่ใช่มาเป็นคนละตัวอย่างที่เคยเห็นและกินกันมา ซึ่งรสชาติก็ไม่ได้ดีกว่าไทย เราก็กินขนมจีบ 1 มื้อ เป็ดปักกิ่ง 1 มื้อ ซึ่งที่นี่เขาทำคล้าย ๆ ของไทย แต่เขากินหนังและเนื้อด้วยกัน แต่น้ำจิ้มคล้ายเรา ไม่เหมือนที่ปักกิ่งที่น้ำจิ้มเค็มมาก เรา 3 คนกินเป็ดปักกิ่ง 1 ตัวไม่หมด หนังก็ไม่กรอบ ถึงแม้เราสั่งว่าจะกินหนังก่อน แต่เขาย่างมาเหมือนกันทุกตัว หนังจึงไม่กรอบ เนื้อเขาทำเมี่ยงให้ แต่เนื้อชิ้นใหญ่ และยังเอาเนื้อเป็ดเป็นชิ้น ๆ ให้เรากินด้วย ยอมรับว่าเนื้อเป็ดปักกิ่งอร่อยดี แต่ผมยังชอบวิธีแบบไทยมากกว่า หนังกรอบกว่า

สรุปแล้วอาหารที่ประทับใจจริง ๆ คือ หอยงวงช้าง ซึ่งอร่อยและหากินที่บ้านเราไม่ค่อยได้ อย่างอื่นสู้เมืองไทยไม่ได้และยังแพงกว่าด้วย ก่อนไปอยากไปกิน แต่ไปแล้วคงไม่ไปเพื่อกินอย่างเดียวอีกแล้ว