แอลกอฮอล์ในมุมมองนิติเวช

แอลกอฮอล์ในมุมมองนิติเวช
Ethanol: Man’s oldest psychoactive substance

สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ

ล่วงเข้าสู่เดือนมีนาคม ฤดูร้อนมาก ๆ ของประเทศไทย ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อน หลบอากาศร้อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ใกล้จะมาถึง แต่สำหรับแพทย์นิติเวช หรือแม้กระทั่งแพทย์ทั่วไป อาจต้องเตรียมรับมือกับ “5 วันอันตราย” หรือ “7 วันอันตราย” สุดแท้แต่จำนวนวันหยุดของเทศกาลนั้น ๆ ซึ่งเป็นวันที่ประชาชนจะเข้าสู่บรรยากาศการเลี้ยงฉลอง สังสรรค์ และการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ทำให้การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรเพิ่มขึ้นกว่าสถานการณ์ปกติ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุจราจร โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลนั้นคือ การขับขี่ขณะมึนเมา ในโอกาสนี้ผู้เขียนจึงหยิบยกประเด็นเรื่องแอลกอฮอล์ มาอรรถาธิบายให้เข้ากับสถานการณ์ที่ใกล้จะถึง

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เรานิยมเรียกกันสั้น ๆ และบริโภคกันนั้น แท้จริงคือ เอทิลแอลกอฮอล์ หรือเอทานอล ซึ่งเอทานอลนั้นเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งซึ่งถูกสันนิษฐานในทางประวัติศาสตร์ว่าเป็น “man’s oldest psychoactive substance” สามารถผลิตได้ทั้งจากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี และกระบวนการทางชีวเคมี โดยการหมักพืชผลหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ซึ่งกระบวนการที่ได้รับความนิยมและวัตถุดิบที่สามารถเลือกใช้ได้มีหลากหลายชนิด โดย

  • กระบวนการหมักคือ ขั้นตอนการใช้ยีสต์เพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็นเอทานอล การหมักธัญพืช เช่น บาร์เลย์ หรือ ฮอพส์ จะได้ผลิตภัณฑ์คือ เบียร์ หรือการหมักผลไม้ เช่น องุ่น จะได้ผลิตภัณฑ์คือ ไวน์
  • ส่วนกระบวนการกลั่นคือ การนำเอทานอลที่ได้จากการหมักไปกลั่นที่ความดันบรรยากาศ จะได้เอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ การกลั่นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักจะได้ผลิตภัณฑ์ เช่น วิสกี้ บรั่นดี เอทานอลเป็นของเหลวใส ไม่มีสี ระเหยได้ง่าย ติดไฟ และละลายในน้ำ

      ผู้อ่านหลายท่านอาจสงสัยว่า ดื่มอย่างไรไม่ให้ 'เมา' ทำไมบางคนเกิดอาการ 'เมา' เร็ว ทำไมบางคนเกิดอาการ 'เมา' ช้า หรือแม้กระทั่ง 'เมา' ในทางการแพทย์หรือในทางกฎหมายนั้นหมายถึงอะไร

  1. การดูดซึม เมื่อเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เอทานอลจะถูกดูดซึมที่แรกในกระเพาะอาหารอย่างช้า ๆ แต่จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วที่ลำไส้เล็กส่วน duodenum และ jejunum ดังนั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่ออัตราการดูดซึมคือ ระยะเวลาในการเคลื่อนที่ของอาหารออกจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็กได้หมด (gastric emptying time) หากระยะเวลาดังกล่าวนานจะทำให้เอทานอลถูกดูดซึมช้า และถูกทำลายโดย alcohol dehydrogenase ที่อยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร จึงเกิดอาการเมาช้า แต่หากระยะเวลาดังกล่าวสั้น เอทานอลจะถูกส่งไปยังลำไส้เล็กและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว จึงเกิดอาการเมาเร็ว ปัจจัยที่ส่งผลต่อ gastric emptying time แสดงดังตาราง
     
  2. การเปลี่ยนรูป มากกว่า 90% ของเอทานอลที่ถูกดูดซึมจะถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับ
  • กระบวนการหลักในการเปลี่ยนเอทานอลที่ตับจะอาศัยเอนไซม์ alcohol dehydrogenase (ADH) และ aldehyde dehydrogenase (ALDH) ที่อยู่ใน cytoplasm และ mitochondria ตามลำดับ ซึ่งเอนไซม์ ADH ของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างและมีความสามารถในการเปลี่ยนเอทานอลไม่เท่ากัน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการเมาช้าเร็วแตกต่างกัน
  • กระบวนการรองในการเปลี่ยนเอทานอลที่ตับจะอาศัยระบบที่เรียกว่า microsomal ethanol oxidizing system (MEOS) ซึ่งเป็นระบบที่อยู่บริเวณ smooth endoplasmic reticulum โดยมีเอนไซม์ที่สำคัญคือ กลุ่มเอนไซม์ cytochrome P450 ระบบ MEOS นี้สามารถถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนเอทานอลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคนคนนั้นดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ จึงเป็นเหตุผลที่คนติดสุรา จะมีอาการเมาช้ากว่าคนที่ไม่เคยดื่ม เนื่องจากระบบ MEOS ทำการเปลี่ยนเอทานอลได้อย่างรวดเร็วในคนติดสุรา

ดังกล่าวข้างต้นเป็นปัจจัยทางด้านการดูดซึมและการเปลี่ยนแปลงเอทานอลที่ส่งผลให้ผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกิดอาการช้าเร็วแตกต่างกัน ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดอยากอยู่ในวงสังสรรค์นาน ๆ ก็รับประทานอาหารมากบ่อย ๆ เข้าไว้ ก็จะทำให้เอทานอลถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าครับ อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ยึดคติในการดื่มว่า ดื่มแต่พอเหมาะและเมาไม่ขับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการพักผ่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์และเดินทางอย่างปลอดภัย

ท้ายที่สุดขอทิ้งท้ายตัวบทกฎหมายที่อาจจำเป็นต้องทราบเมื่อจำเป็นต้องขับขี่ยานพาหนะ ดังนี้

พระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ (1) ในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ (2) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น...

พระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 142 วรรคสอง “ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่

ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ทดสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจกักตัวผู้นั้นไว้ดำเนินการทดสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การทดสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากผู้นั้นยอมให้ทดสอบและผลการทดสอบปรากฏว่าไม่ได้ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที

ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น หากผู้นั้นยังไม่ยอมให้ทดสอบตามวรรคสามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) การทดสอบตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง”