“U=U ความรู้คู่การรักษาเอดส์”

“U=U ความรู้คู่การรักษาเอดส์”

ผศ.พิเศษ พญ.จุรีรัตน์  บวรวัฒนุวงศ์ โรงพยาบาลศูนย์ชลบุรี ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย

                    ทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของโรคเอดส์ค่อนข้างมาก หลังการรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีเมื่อปี พ.ศ. 2524 มีการพัฒนาความรู้การรักษาจากโรคที่ทำให้ทุกคนป่วยตาย กลายเป็นมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ จนถึงอีกขั้นที่พิสูจน์ได้ว่าผู้ที่รับประทานยาจนไม่มีเชื้อไวรัสอยู่ในกระแสเลือดจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น แม้กระทั่งการแพร่เชื้อทางการร่วมเพศ (U=U Undetectable equals Untransmittable)

           โรคเอดส์เริ่มระบาดในปี พ.ศ. 2524 ในระยะ 15 ปีแรกของการระบาดถือว่าเป็นยุคมืด เมื่อผู้ติดเชื้อทุกคนถึงแก่กรรมหมดในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปีครึ่ง หลังจากป่วยเป็นโรคเอดส์เต็มขั้นหรือภูมิคุ้มกันต่ำกว่า 200 เซนต์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร จนกระทั่งพบการกำเนิดของยาต้านไวรัส AZT ในปี พ.ศ. 2530 และมีการพัฒนาจนได้สูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพสูง (Highly Active Antiretroviral Therapy: HAART) ในปี พ.ศ. 2538-2539 ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่เสียชีวิต สุขภาพแข็งแรงเยี่ยงคนทั่วไป ผู้ติดเชื้อที่มีวินัยรับประทานยาดี ระดับเชื้อไวรัสในกระแสเลือดจะต่ำกว่า 20 copies ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร และสามารถดำรงภาวะไม่พบเชื้อในกระแสเลือดนานนับเป็น 10-20 ปี

            การป้องกันการแพร่เชื้อในผู้ป่วยที่ระดับไวรัสต่ำกว่า 20 copies ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ป้องกันไม่ให้หญิงมีครรภ์ถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก (Prevention Mother to Child Transmission: PMTCT) ลดอัตราการแพร่จากแม่ที่ติดเชื้อสู่ลูก จากร้อยละ 24 ก่อนปี พ.ศ. 2537 ลดเหลือต่ำกว่าร้อยละ2 ในปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญยิ่งที่ป้องกันให้ทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อไม่ติดเชื้อ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ในโลกที่สามารถลดการติดเชื้อในเด็กหลังคลอดจากมารดาติดเชื้อเหลือเพียง 0-2%

           ในปี พ.ศ. 2559 วารสาร JAMA (Journal of American Medical Association) รายงานผลการศึกษา Partner Study (Partners of People on ART-A New Evaluation of the Risks) Study ในคู่สมรสที่มีผลเลือดต่าง 1,166 คู่ ใน 14 ประเทศในยุโรป พบว่าคู่สมรสที่มีผลบวกแต่รับประทานยาต้านไวรัสจนระดับไวรัสต่ำกว่า 200 copies ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร จะไม่แพร่เชื้อให้คู่สมรสที่ไม่ติดเชื้อ แม้จะมีการร่วมเพศโดยไม่ใส่ถุงยาง ซึ่งในการประชุมเอดส์โลกครั้งที่ 22 ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ระหว่างวันที่ 22-26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ได้มีการประกาศผลการวิจัยที่เรียกว่า Partner 2 Study ซึ่งทำการวิจัยในชายรักร่วมเพศที่มีผลเลือดต่าง 783 คู่ และมีการติดตามการศึกษาเป็นเวลา 1.6 ปี โดยมีการร่วมเพศแบบไม่ใส่ถุงยางในการศึกษารวม 76,991 ครั้ง พบว่าไม่มีการแพร่เชื้อจากฝ่ายที่ติดเชื้อไปยังคู่ที่ยังไม่ติดเชื้อ ผลการศึกษานี้ย้ำความรู้ใหม่ว่า การแพร่เชื้อจากผู้ติดเชื้อที่รับประทานยาจนไม่พบระดับไวรัสในเลือดจะไม่เกิดขึ้นต่อคู่สมรส เกิดเป็นคำศัพท์ที่แพร่หลายในวงวิชาการว่า U=U Undetectable equals Untransmittable”

            ความรู้เรื่องการไม่แพร่เชื้อหากมีการรักษาที่ถูกต้อง ทำให้ความเข้าใจในการมีบุตรของผู้ติดเชื้อกระจ่างขึ้นว่าผู้ที่เป็นโรคเอดส์ก็สามารถมีบุตรได้ หากสุขภาพร่างกายตนและคู่สมรสแข็งแรงและรับประทานยาถูกต้อง และการตีตราแบ่งแยกผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีมาตลอดตั้งแต่มีการระบาดของโรคนี้ทำให้ผู้ติดเชื้อเหมือนบุคคลถูกกีดกันจากสังคม ถูกรังเกียจและด้อยโอกาส จึงอยากให้คนในสังคมช่วยกันปรับทัศนคติเสียใหม่ว่า “การติดเชื้อเอชไอวีก็เหมือนการป่วยด้วยโรคเบาหวาน โรคความดันที่ต้องควบคุมระดับและผลการรักษาให้ดีที่สุด และเป็นโรคที่ไม่ก่อโทษแก่ใครใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อ U=U ก็ควรเป็น You, Understand!!!