การตายกะทันหันและไม่คาดคิดในทารก

การตายกะทันหันและไม่คาดคิดในทารก

พ.ต.ต.นพ.ณัฐวุฒิ โยธินอุปไมย พ.บ., ว.ว.นิติเวชศาสตร์, น.บ. แพทย์นิติเวช สถาบันนิติเวชวิทยา

            1 เดือน 27 วัน คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่ชีวิตน้อย ๆ นี้จะจากลาโลกไป มากไปกว่านั้นความกะทันหันไม่ทันคาดคิดยิ่งสร้างความโศกเศร้าแก่พ่อแม่ของทารกน้อยเป็นพันเท่าทวีคูณ

            เด็กน้อยคลอดครบกำหนด สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคประจำตัว คำบอกเล่าจากหญิงผู้เป็นแม่ วันก่อนเสียชีวิตก็ยังกินอาหารและดื่มนมได้ปกติ ไม่มีอาการหรือสัญญาณผิดปกติใด ๆ พอรุ่งเช้า ทารกนั้นนอนนิ่งอยู่บนเตียงและหลับไปตลอดกาล

            การตรวจสถานที่เกิดเหตุ สอบปากคำพยานต่าง ๆ ไม่พบข้อพิรุธ ผลการผ่าตรวจศพและการตรวจทางพิษวิทยาไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติใด จึงนำมาสู่ข้อสรุปการตายว่า เป็นการตายกะทันหันและไม่คาดคิด (sudden infant death syndrome; SIDS)

ไม่พบบาดแผลภายนอก     
อวัยวะบริเวณลำคอ หัวใจ และปอด ไม่พบความผิดปกติ
ตับ ม้าม และไต ไม่พบความผิดปกติ

            สำหรับวลี “การตายกะทันหันและไม่คาดคิด” อาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความหมายของวลีดังกล่าว เนื่องจากกิริยาการตายนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุดเวลาเดียว คือหัวใจหยุดเต้น หรือสมองตาย แล้วแต่มุมมอง ดังนั้น ทุกกิริยาการตายย่อมเกิดขึ้นกะทันหันฉับพลันทันใด ณ เวลาหนึ่งแล้วจบ ไม่มีลักษณะของการค่อย ๆ ตาย หรือกำลังตาย ดังนั้น การตายจากอุบัติเหตุ เช่น รถชนตายคาที่ หรือการตายจากถูกฆาตกรรม ถูกยิง ถูกแทง ก็ย่อมเป็นการตายกะทันหันและไม่คาดคิด คือไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุ หรือจะถูกฆาตกรรม เป็นต้น

            ในตำรานิติเวชฉบับภาษาไทยหลายเล่มก็ยังคงใช้วลีดังกล่าวข้างต้นในการแปลความหมายของวลีภาษาอังกฤษที่ว่า sudden infant death syndrome (SIDS) ซึ่งเห็นว่ายังไม่ถูกต้องสอดคล้องกับรายละเอียดของภาวะนี้ ถ้าจะให้ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างแท้จริงคงจะเป็นวลียืดยาวคือ “การตายของทารกอย่างกะทันหันไม่คาดคิด โดยไม่สามารถระบุสาเหตุได้” หรือย่อสั้น ๆ ว่า SIDS โดยคำว่า “กะทันหันและไม่คาดคิด” หมายถึงการไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นมาอย่างเรื้อรังที่พอจะคาดหมายได้ว่าจะเป็นสาเหตุของการตาย ประกอบกับไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อนจะเสียชีวิต อันจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป

            SIDS ในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ หรือสหรัฐอเมริกา เป็นการตายที่พบได้ประมาณ 0.5-3 รายต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 คน ทารกที่ตายและได้รับการวินิจฉัยเป็น SIDS เกือบทั้งหมดจะมีอายุอยู่ในช่วง 2-7 เดือน โดยพบมากที่สุดที่อายุ 3 เดือน เพศของทารกที่ตายนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ บางประเทศเป็นทารกเพศชายมากกว่า และบางประเทศพบว่าเป็นเพศหญิงมากกว่า ทารกแฝดมีโอกาสตายจากภาวะนี้ได้มากกว่าปกติ 2 เท่า ฤดูกาลและสภาพอากาศมีผลต่ออุบัติการณ์การพบ SIDS กล่าวคือ ในเขตอากาศอบอุ่นในยุโรปหรือในอเมริกาเหนือจะพบมากในช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน ส่วนในภูมิภาคออสเตรเลีย-เอเชียจะพบมากในช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม และปัจจัยสุดท้ายคือ เศรษฐานะเป็นปัจจัยแปรผกผันกับอุบัติการณ์การเกิดภาวะดังกล่าว

ครึ่งหนึ่งของศพทารกที่ได้รับการวินิจฉัยเป็น SIDS จะสบายดี ไม่มีอาการผิดปกติก่อนตาย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะมีอาการผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เป็นหวัด หรือปวดท้อง ไม่สบายท้อง พ่อแม่ผู้ปกครองมักให้ประวัติว่าปลุกทารกไม่ตื่นในตอนเช้า หรือหลังจากให้อาหารเช้าหรือดื่มนมตอนเช้าแล้ว ไม่นานก็พบว่าทารกเสียชีวิตบนที่นอน

มีความพยายามในการศึกษาวิจัยหาสาเหตุที่แท้จริงของการตายดังกล่าวเกิดเป็นทฤษฎีมากมาย แต่ก็ยังไร้ข้อสรุปที่ชัดเจน บางการศึกษาให้น้ำหนักกับการนอนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจเกิดการหยุดหายใจไปชั่วขณะ และการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะในทางเดินหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลงจากการบวม อักเสบ และการมีสารคัดหลั่งต่าง ๆ ทั้ง 2 ปัจจัยเกื้อหนุนกันทำให้เกิดการขาดออกซิเจน เกิดวงจรการหยุดหายใจ-ขาดออกซิเจนหมุนวนไป จนกระทั่งหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุด แต่ก็มีการศึกษาที่ไม่สนับสนุนปัจจัยดังกล่าว ซึ่งพบว่าศพทารกจำนวนมากไม่พบการติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจก็เกิดภาวะ SIDS ได้ หรือบางการสำรวจก็พบว่าการสาธารณสุขพื้นฐานที่ดีเกี่ยวกับการดูแลทารกตั้งแต่การฝากครรภ์ การดูแลหลังคลอด สารอาหารและวัคซีนต่าง ๆ จะลดการเกิด SIDS ได้

ในการจัดการกับทารกที่เบื้องต้นตายไม่ทราบสาเหตุอยู่ในบ้านหรือที่ใดก็ตาม ย่อมต้องเป็นไปตามกระบวนการการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การชันสูตรพลิกศพ และการผ่าศพอย่างละเอียดตามที่ได้กล่าวไว้หลายโอกาสแล้วในบทความที่ผ่านมา โดยจุดสำคัญสำหรับการตายของทารกนั้นคือ ต้องตัดประเด็นการฆาตกรรมออกให้ได้เสียก่อน เนื่องจากทารกเป็นบุคคลที่อ่อนแอ ต้องพึ่งพิงการเลี้ยงดูจากผู้ใหญ่ หลายครั้งทารกนั้นกลับกลายเป็นภาระที่ผู้ดูแลต้องการกำจัดทิ้ง ดังนั้น การตรวจบาดแผลภายนอกอย่างละเอียด โดยเฉพาะบาดแผลตามปาก จมูก หรือลำคอ ซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญในการฆาตกรรมโดยทำให้ขาดอากาศอันเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและพบบ่อยในการกำจัดทารก

เมื่อข้อมูลทั้งหมดนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่าทารกนั้นเป็น SIDS คือ ตายโดยไม่พบสาเหตุ กระบวนการที่สำคัญสุดท้ายที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ การอธิบายให้พ่อแม่ของทารกเข้าใจเกี่ยวกับการตายลักษณะนี้ว่าอาจเกิดขึ้นโดยไม่พบสาเหตุ และที่สำคัญคือ มิได้เป็นความบกพร่องจากการเลี้ยงดู เพื่อให้พ่อแม่ทารกไม่เกิดความรู้สึกผิดหรือเกิดตราบาปในใจมากจนเกินไป และสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาโศกเศร้านี้ได้อย่างเข้มแข็งต่อไป